บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช

บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช จากดาวรุ่งที่ถูกเมินสู่กองกลางที่ดีที่สุดในโลก

บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช จากดาวรุ่งที่ถูกเมินสู่กองกลางที่ดีที่สุดในโลก โมดริชเกิดในวันที่ 9 กันยายน 1985 ในเมืองซาดาร์ แต่เติบโตมากับครอบครัวในหมู่บ้านโมดริชี มันเป็นเรื่องปกติที่ชาวโครเอเชียจะตั้งนามสกุลตามชื่อหมู่บ้าน ทว่าในอีกหลายปีหลังจากนั้น โมดริชก็สร้างชื่อให้ตัวเองโด่งดังกว่าบ้านเกิดของเขาไปแสนไกลทีเดียว

ตอนอายุ 10 ขวบ โมดริชและมาริโอ เกอร์กูโรวิช เดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับทีมไฮจ์ดุ๊ก สปลิต ทว่าแมวมองของไฮจ์ดุ๊กมองว่าโมดริชตัวบางและอ่อนแอเกินกว่าจะกลายเป็นนักเตะในระดับสูงได้

“เราได้พบกับพวกเด็กๆ ในทีมเยาวชนของซาดาร์ เราทั้งสองคนอยู่ร่วมกันสั้นๆ ในทีมไฮจ์ดุ๊ก และเคยอยู่ในทีมเยาวชนของโครเอเชียด้วยกันมาตลอด” เกอร์กูโรวิชเล่าให้ Goal ฟัง “ผมได้รับการประเมินค่าว่ามีพรสวรรค์สูงกว่าในเวลานั้น แต่ฟุตบอลก็แบบนี้แหละ มีคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าลูก้าและผมหลายคนที่ไม่ได้เล่นอาชีพด้วยซ้ำ”

เกอร์กูโรวิชในวัยเยาว์ได้รับการยอมรับจากไฮจ์ดุ๊ก แต่โมดริชโดนปฏิเสธ เขาเล่าให้ฟังว่า “ตอนเราจบชั้นประถม เราเลือกเล่นให้ซาดาร์แล้วก็เอาชนะไฮจ์ดุ๊กได้ นั่นคือตอนที่คนจากไฮจ์ดุ๊กมาชวนผมไปร่วมทีม ส่วนลูก้าตามมาที่ไฮจ์ดุ๊กหลังจากนั้นครึ่งปี แต่ได้อยู่ที่นั่นแค่ 15 วันเท่านั้น

“ผมคงไม่พูดว่าเขาล้มเหลวกับไฮจ์ดุ๊กหรอกนะ เรามองคุณภาพของเด็กในช่วงเวลาสั้นๆ ขนาดนั้นไม่ได้หรอก แต่ความจริงก็คือเขากลับไปอยู่กับซาดาร์ และอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น เขาก็ย้ายไปอยู่กับดินาโม ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้เป็นนักเตะอาชีพ

“ตอนเป็นเด็ก เขาก็เป็นเด็กทั่วๆ ไป ไม่ได้ทำอะไรโดดเด่นนอกสนาม แต่เขาสนใจแต่ฟุตบอลเท่านั้น ผมไม่เคยเชื่อเลยตอนที่ใครพูดว่าพวกเขารู้ดีว่าลูก้าจะกลายเป็นนักเตะชั้นยอดตั้งแต่ตอนที่เห็นเขาเล่นตอนเด็กๆ ไร้สาระสิ้นดี ต้องหลังจากตอนที่เขาเป็นผู้นำทีมดินาโมแล้วเท่านั้นแหละ ที่ชัดเจนว่าเขาจะกลายเป็นนักเตะชั้นนำ”

หลังจากนั้น โทมิสลาฟ บาซิช ผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอลจากซาดาร์ ได้แนะนำโมดริชให้ทีมมามิชและดินาโม ซึ่งเป็นที่ที่ลูก้าย้ายไปร่วมทีมเมื่อปี 2000 บาซิชได้รับการนับถือเหมือนเป็นพ่อของโมดริช เขาเคารพนักเตะรายนี้เสมอ แม้กระทั่งตอนที่โมดริชเป็นนักเตะของเรอัล มาดริด แล้ว ทั้งคู่ก็ยังติดต่อกันจนกระทั่งบาซิชถึงแก่กรรมในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ซึ่งโมดริชได้ไปร่วมพิธีศพของอดีตผู้เล่นรายนี้ด้วย

การย้ายไปเล่นให้ดินาโมคือกุญแจสำคัญ แต่การถูกยืมไปเล่นให้ อินเตอร์ ซาเปรซิช คือที่ที่โมดริชเริ่มได้แสดงฝีเท้า ด้วยการช่วยให้ทีมเล็กๆ ทีมนี้ได้มีโอกาสลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนั้น ถึงแม้พวกเขาจะจบเพียงอันดับสอง หลังจากที่ลูก้ากลับไปอยู่สโมสรต้นสังกัดในเดือนธันวาคม

“เขาย้ายเข้ามาพร้อมเวดราน ชอร์ลูก้า ผมบอกพวกเขาว่าต้องสู้เพื่อแย่งตำแหน่งในทีมนะ และถ้าพวกเขาทำได้ตั้งแต่ตอนอายุ 18 ปี พวกเขาจะกลายเป็นนักเตะที่ดีได้แน่นอน” ซเร็คโก บ็อกดาน อดีตโค้ชอินเตอร์ ซาเปรซิช กล่าว

“ลูก้าแย่งตำแหน่งตัวจริงมาได้โดยใช้เวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น ผมบอกเขาว่าอย่ากลัว ผมหนุนหลังเขา มันไม่สำคัญว่าเขาจะเล่นดีหรือไม่ในสามสี่นัดแรก ผมอยากเห็นเขาทำงานอย่างหนัก เห็นเขาต่อสู้ และสำหรับตัวเขาแล้ว มันไม่มีอะไรน่ากังขาเลย

“แม้กระทั่งในตอนนั้น เขาก็เป็นเหมือนเช่นทุกวันนี้ วันไหนที่เขาเล่นต่ำกว่ามาตรฐาน ทั้งทีมจะเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ในทีมอินเตอร์ของผม เขาเล่นหลังกองหน้า และมักจะเข้าไปในกรอบเขตโทษของคู่แข่ง จุดอ่อนของเขาเหรอ เขาไม่ค่อยเก่งเวลาดวลตัวต่อตัว แต่เขาก็เลี่ยงการดวลตัวต่อตัวได้เก่งมาก

“เขาเล่นเพื่อทีมเสมอและผมมั่นใจว่าเราจะเป็นแชมป์หากเขาอยู่กับเราจนถึงจบฤดูกาล อย่างที่เราตกลงกับดินาโมไว้ก่อนหน้านั้น ตอนอยู่กับผม เขาไม่เคยเล่นเป็นกองกลางตัวรับเลย ผมอยากให้เขาอยู่ใกล้เขตโทษมากกว่า เพื่อนร่วมทีมทุกคนรักเขา เขายุติธรรมและซื่อสัตย์ ใครๆ ก็ชอบ และในสนาม เขาก็เป็นนักเตะที่ดีที่สุดเสมอ”

“บ็อกดานเชื่อว่าโมดริชได้รับพรสวรรค์ของเขามาจากข้างถนน และเชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่จะเห็นโครเอเชียสร้างนักเตะแบบโมดริชขึ้นมาได้อีกในทุกวันนี้

“เขามั่นใจมากและรู้เป้าหมายของตัวเอง ผมดีใจมากที่ได้ทำงานกับเขา ทุกวันนี้ ผมทำงานกับพวกเด็กๆ ในอินเตอร์ และมันยากกว่าเดิมมาก ตอนที่โมดริชเติบโตขึ้นมา พวกเด็กเติบโตด้วยการเล่นฟุตบอลตามข้างถนน และเราก็แค่ขัดเกลาให้พวกเขากลายเป็นนักเตะอาชีพเท่านั้น แต่ทุกวันนี้พวกเด็กๆ ไม่เล่นบอลกันตามท้องถนนอีกแล้ว”

และถึงแม้จะมีพรสวรรค์มากขนาดนั้น เขาก็ไม่ได้คิดว่าโมดริชจะกลายเป็นสุดยอดนักเตะเหมือนอย่างทุกวันนี้” มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเราคาดหวังว่าจะเห็นเขากลายเป็นนักเตะอย่างที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมบอกได้แค่ว่าตอนที่เขากลายเป็นกำลังหลักให้ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เราถึงได้รู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมมาก”

โมดริชยังเคยถูกยืมตัวไปเล่นในบอสเนีย และ Stjepan Deveric เฮดโค้ชของทีม Zrinkski เล่าให้ฟังว่า “สำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่ทีมเยาวชนของดินาโม หรือกับทีม Zrinjski ลูก้าคือมิดฟิลด์ตัวกลางมาโดยตลอด เขามีความสร้างสรรค์และมีความสามารถพิเศษในการหาหนทางทำให้ตัวเองโดดเด่นได้เสมอ

“เขาเทคนิคสมบูรณ์แบบและแม้กระทั่งบนสนามแข็งๆ ในลีกบอสเนียก็ไม่มีผลกับเขาเลย เขากลายเป็นผู้นำในสนาม และมันเป็นเรื่องยากมากที่จะมีนักเตะอายุ 18 ปีเป็นผู้นำในทีม เขาแข็งแกร่งขึ้นมากในลีกบอสเนีย

“เขามืออาชีพมากและเงียบมากด้วย เขาทำให้ตัวเองโดดเด่นในสนาม แต่ในตอนอื่นๆ คุณแทบจะไม่สังเกตเห็นเขาเลย”

“อีกเหตุผลสำคัญมากๆ สำหรับชีวิตค้าแข้งที่ยอดเยี่ยมของเขาคือเขาเติบโตขึ้นมาโดยที่ไม่มีอาการบาดเจ็บเลย มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกตั้งแต่ตอนนั้นว่าเขาจะกลายเป็นนักเตะอย่างที่เขาเป็นทุกวันนี้ นักเตะบางคนก็พอใจในทันทีที่พวกเขาได้เงินก้อนแรกหลังจากย้ายไปเล่นในลีกใหญ่ แต่มีเพียงคนที่ดีที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอดไปได้ตลอดทาง อย่างที่ลูก้าทำได้”

ในช่วงระหว่างค้าแข้งกับดินาโม สลาเวน บิลิช อดีตโค้ชทีมชาติโครเอเชียเป็นอีกหนึ่งคนที่มีอิทธิพลต่อโมดริชอย่างมากในช่วงต้นของชีวิตค้าแข้ง เขามอบบทบาทสำคัญให้โมดริชในทีมชาติโครเอเชียชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี รวมถึงในทีมชุดใหญ่ และโมดริชก็มักจะเอ่ยถึงบิลิชในฐานะโค้ชที่ดีที่สุดที่เขาเคยมีมาอยู่เสมอ

โมดริชได้ลงเล่นให้ทีมชาติโครเอเชียนัดแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2006 โดยเผชิญหน้ากับอาร์เจนตินาและเมสซี ลูก้าเล่นได้โดดเด่นในเกมที่โครแอตเอาชนะไปได้ 3-2 และเป็นผู้เล่นคนสำคัญภายใต้การนำทีมของบิลิชที่คว้าโควต้าไปลุยยูโร 2008 ด้วยการคว่ำอังกฤษตกรอบ

และถึงแม้เขาจะได้รับเลือกให้อยู่ในทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว แต่โมดริชมักจะไม่ค่อยได้รับเสียงชื่นชมนักในทีมชาติโครเอเชีย ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่เขาจะได้รับการยอมรับในบ้านเกิด บางคนบอกว่าเขาทำประตูได้น้อยเกินไป บางคนบอกว่าเขาไม่เคยเป็นตัวหลักให้ทีมได้เลย และอีกหลายๆ คนบอกว่าเขาเล่นในระดับสโมสรได้ดีกว่านี้

แต่ในทุกวันนี้ ไม่มีใครพูดแบบนั้นอีกแล้ว ถึงแม้เขาจะยิงได้เพียง 11 ประตูตลอด 5 ฤดูกาลกับเรอัล มาดริด เขาก็ได้รับการยอมรับอย่างสูงในถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว รวมถึงในบ้านเกิดของเขาด้วย


ติดตาม ข่าวสารฟุตบอล ไปกับเราศูนย์รวม ทรรศนะฟุตบอล

ห้ามพลาด !!

อัพเดทข่าวสารแวดวงกีฬาพร้อมทีเด็ดแม่นๆจากกูรูชั้นนำ

คลิกเลย @Gurusportv1

บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช กับเรื่องลับ ๆ ที่แฟนคลับน้อยคนนั้นจะรู้?!

บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช ผู้ที่อดีตเคยเป็นเด็กลี้ภัยที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ แต่ในช่วงนั้นก็ทำได้เพียงแต่เล่นฟุตบอลในลานจอดรถของโรงแรมที่อาศัย แต่ใครจะเชื่อว่าเด็กน้อยที่ดูเหมือนไม่มีอนาคตในวันนั้นจะขึ้นมาเป็นนักเตะที่หยุดไม่ให้สองยักษ์ใหญ่นั้นคว้าบัลลงดอร์ได้ ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับแง่มุมที่ไม่ได้อยู่ในสนามของโมดริชกันให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเจ้าตัวจะมีเรื่องราวอะไรบ้างนั้นไปติดตามรับชมกันต่อกับ Guru Cafe กันเลย

อดีตเด็กผู้ลี้ภัย

บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช

ช่วงวัยเด็กของเขานับว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากเป็นอย่างมกา เมื่อตอบโตขึ้นมาระหว่างสงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย ช่วงต้นทศวรรษที่ 90s โดยการต่อสู้ในครั้งนั้น ทำให้เขาสูญเสียคุณปู่จากการถูกสังหาร และกลายเป็นผู้ลี้ภัยพร้อมกับครอบครัว หลังจากต้องหนีออกมาจากบ้านเกิดแบบไม่มีทางเลือก ซึ่งในสถานะผู้ลี้ภัย เจ้าตัวต้องใช้ชีวิตอยู่ตามโรงแรมในเมืองซาดาร์ โดยเป็นการอาศัยอยู่ที่โรงแรมชื่อว่าโคโลแวร์ นานถึง 7 ปี และมีลานจอดรถของโรงแรมแห่งนี้เปรียบเสมือนลานซ้อมแห่งแรกในชีวิต

เกือบจะได้เป็นส่วนหนึ่งของ “เจ้าบุญทุ่ม”

บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช

ในปี 2008 “โมดริช” เคยมีข่าวเชื่อมโยงกับหลายสโมสรทั่วยุโรป ซึ่ง “บาร์เซโลน่า” ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ว่าท้ายที่สุดแล้ว “เจ้าบุญทุ่ม” กลับปล่อยให้ดีลในครั้งนั้นหลุดมือไป และเป็น “ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์” ที่ได้สตาร์รายนี้ไปครอง

นักเตะที่เป็นแรงบันดาลใจในวัยเด็ก

บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช

ซึ่งก็แน่นอนว่านักเตะส่วนใหญ่นั้นจะได้เป็นไอดอลของใครหลาย ๆ คน ซึ่ง “โมดริช” เองก็มีไอดอลในวัยเด็กเป็นฮีโร่ของชาติ ซึ่งคน ๆ นั้นก็คือ “ซโวนิเมียร์ โบบัน” ตำนานหัวหอกทีมชาติโครเอเชีย และ “เอซี มิลาน” หนึ่งในขุนพลตราหมากรุกชุดคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลกในปี 1998

บุคคลธรรมดาเพียงคนเดียวที่คว้าบัลลงดอร์ได้ในรอบ 13 ปี

บทความฟุตบอล ลูก้า โมดริช

นับตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปี 2021 มีเพียงแค่ 2 สตาร์นักเตะตลอดกาลอย่าง “ลิโอเนล เมสซี่” และ “คริสเตียโน่” เท่านั้นที่สามารถกวาดลูกบอลทองคำรวมกันไปถึง 12 สมัย และครั้งเดียวที่สองแข้งจากบอลโลกไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้นคือในปี 2018 หลังจาก “โมดริช” สามารถก้าวผ่านสตาร์ทั้งสองได้แบบเป็นเอกฉันท์ โดยผลงานเด่นที่เป็นรูปธรรมของอดีตมิดฟิลด์ทัพ “ไก่เดือยทอง” คือ การนำทีมชาติโครเอเชียไปถึงตำแหน่งรองแชมป์โลก และช่วยให้ “เรอัล มาดริด” กระชากถ้วยแชมป์ “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” มาครองได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน

 

ติดตามข่าวสารฟุตบอลไปกับเรา คลิก

ห้ามพลาด !!

อัพเดทข่าวสารแวดวงกีฬาพร้อมทีเด็ดแม่นๆจากกูรูชั้นนำ

คลิกเลย @Sport88s

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า